# ความแตกต่างของดนตรีแจ๊ซซ์กับดนตรีบลูส์
ดนตรีแจ๊ส เป็นดนตรีประเภทหนึ่งที่ผู้เล่นต้องใช้ทักษะสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเล่นเดี่ยวโดยใช้ปฏิภาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก ที่ผู้เล่นต้องใช้ฝีมือ และรู้แนวทางอย่างแม่นยำ การเล่นเดี่ยว โดยใช้ปฏิภาณนี้ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า IMPROVISE และนักดนตรีส่วนมาก จะเรียกว่า ADLIB การ IMPROVISE หรือ ADLIB นี้ เป็นส่วนสำคัญ สำหรับการเล่น ในแนวทาง JAZZ
ดนตรี JAZZ เพิ่งจะมีการเล่น และพัฒนาตัวเอง มาจากดนตรีของ แอฟริกาตะวันตก และเป็นรูปเป็นร่าง ในปี ค.ศ. 1900 นี่เอง และเรียกดนตรี JAZZ ชนิดนี้ว่า NEW ORLEANS JAZZ ซึ่งเป็นที่นิยมกัน ในหมู่ชาวผิวดำ (อเมริกัน) ที่เรียกชื่อนี้ ก็เพราะเป็น JAZZ ที่เกิดในเมืองนี้เอง นิยมใช้เครื่องดนตรีเพียง 6-7 ชิ้นเท่านั้น โดยจะมี PIANO , BANJO ภายหลังมาเปลี่ยนเป็น GUITAR , TRUMPET , TUBA หรือ CLARINET , TROMBONE , BASS และกลองชุด เป็นต้น บางวงก็เพิ่ม TENOR SAXOPHONE เข้าไปด้วย
การเล่น NEW ORLEANS JAZZ ในหมู่คนดำนั้น ต่อมาคนขาวก็เล่นบ้าง แต่เรียกว่า DIXIELAND JAZZ ก็คือวงแบบเดียวกัน บางทีก็เรียกว่า ORIGINAL JAZZ การเล่น JAZZ แบบนี้ ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว คือ ตัวใครตัวมัน ต่อมาก็ได้มีวิวัฒนาการเป็น SWING BAND โดยเพิ่มคนเล่นเข้าไปอีกเล็กน้อย มาจนถึง BIG BAND BEE BOB และ MODERN JAZZ การเล่น ดนตรีแจ๊ส ทุกแบบอย่าง ต้องมี IMPROVISE หรือ ADLIB เป็นตัวสำคัญ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ JAZZ ก็ได้พัฒนามาถึง FUSION JAZZ แล้วก็ต้องมี IMPROVISE หรือ ADLIB เช่นกัน
จุดกำเนิดของ Jazz เริ่มประมาณ ศต.ที่ 18 ในดินแดนที่เรียกว่าโลกใหม่ ดินแดนเสรีภาพของคนขาวแต่คนดำถูกกวาดต้อนมาเพื่อเป็นทาส ใช้แรงงานในไร่นาของคนขาว ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิด จากครอบครัวสูญเสียเสรีภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความกดดันจากจิตใจหนักหน่วง มีทั้งความเศร้า เงียบเหงา ความทุกข์ และความสุขในชีวิตนี้ที่พอจะหาได้ก็มีเพลงกับดนตรี ดนตรีที่เกิดจากประสบการณ์ดนตรีชีวิตโดยแท้ ดนตรีที่มาจากอารมณ์หลากหลายทำให้เกิดการร้องเสียงสูงๆ ต่ำๆ สลับกับการร้องโหยหวนรับเป็นทอดๆ กลายมาเป็นเพลง Blues ต้นกำเนิดของ ดนตรี Jazz เชื่อกันว่าดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดราวทศวรรษ 1920 โดยวงดนดรีวงแรกที่นำสำเนียงแจ๊สมาสู่ผู้ฟังหมู่มากคือ ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส แบนด์ (The Original Dixieland Jazz Band: ODJB) ด้วยจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ทำให้โอดีเจบีเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก พร้อมกับให้กำเนิดคำว่า “แจ๊ส” ตามชื่อวงดนตรี โอดีเจบีสามารถขายแผ่นได้ถึงล้านแผ่น
เพลงบลูส์เริ่มได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับแร็กไทม์ ปลายๆ ทศวรรษ 1910 เพลงบลูส์และแร็กไทม์ถูกผสมผสานจนกลมกลืนโดยมีหัวหอกคือ บัดดี โบลเดน (Charles Joseph ‘Buddy’ Bolden) เป็นผู้ริเริ่ม หากแต่เวลานั้นยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่าแจ๊สขึ้นมา และเรียกดนตรีเหล่านี้รวมๆ กันว่า “ฮ็อต มิวสิค” (Hot Music) จนกระทั่งโอดีเจบีโด่งดัง คำว่า แจ๊ส จึงเป็นคำที่ใช้เรียกขานกันทั่ว แจ๊สในยุคแรกนี้เรียกกันว่าเป็น แจ๊สดั้งเดิม หรือ นิวออร์ลีนส์แจ๊ส
ลักษณะสำคัญของเพลงแจ๊สคือ การมี Syncopation (ซินโคเปชั่น) หมายถึงการเน้นจังหวะที่จังหวะยก มากกว่าจังหวะตก โดยมากเพลงแจ๊สจะเป็นเพลงที่มีเสียงอึกทึกอยู่ไม่น้อย แต่เพลงแจ๊สที่เล่นอย่างช้า ๆและนุ่มนวลก็มีเช่นกัน เพลงแจ๊สรุ่นแรกเกิดขึ้นทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาโดยพวกชนผิวดำที่ ที่มาเป็นทาส เพลงแจ๊สที่เกิดทางใต้นี้มีชื่อเรียกว่า Dixieland Jazz เพลงแจ๊สได้รับการพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาจนกลายมาเป็นเพลง Blue ลักษณะของเพลง Blue นี้จะเล่นอย่างช้า ๆ เนิบนาบ
อินเตอร์เน็ต @ 17 May 2015, Comments Off
เพลงคลาสสิกเป็นเพลงที่มีการสร้างรูปแบบมานานเป็นพันปีในทางยุโรป เริ่มแรกจากเพลงที่มีแต่กลอง และพัฒนามาเรื่อย ๆ ในแต่ละยุค ได้แก่ยุค Medieval Renaissance Baroque Classical Romantic ซึ่งแต่ละยุคจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเพลงคลาสสิกในยุคนั้น ๆ ก็เหมือนกับพระพุทธรูปหรือเจดีย์เราที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถบอกได้ว่าเป็นยุคอะไร ทำนองนั้น
เพลงคลาสสิกมันเกิดในช่วงนั้น เพราะฉะนั้นทั้งเครื่องดนตรีก็จะเป็นเครื่องดนตรีในช่วงนั้น ทั้งแนวเพลง ก็จะสะท้อนวัฒนธรรมของช่วงนั้น ทั้งเรื่องธรรมชาติ เรื่องสงคราม ความรัก ความตาย ฯลฯ ว่ากันว่าเพลงคลาสสิกยังมีอิทธิพลต่อการทำเพลงในปัจจุบันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนเรื่องเพลงแจ๊สมีต้นกำเนิดในอเมริกาโดยมีจุดเริ่มต้นจากคนผิวดำในยุคค้าทาสนั่นทีเดียว จุดเด่นของเพลงแจ๊สคือจะมีเทคนิค blue notes, call-and-response, improvisation, polyrhythms, syncopation and the swung note of ragtime ซึ่งแต่ละอย่างพูดง่าย ๆ รวม ๆ คือเป็นการฉีกแนวฉีกกฎจากดนตรีป๊อปให้อารมณ์ชัดและจัดจ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เพลงคลาสสิคไม่มี และคำว่า Jazz นั้นแรกเริ่มก็เอาคำมาจากคำว่า Orgasm ซึ่งหมายถึงจุดสุดยอดนั่นเองครับ เพลงแจ๊สจะหนักหน่วงไปในเรื่องความรัก เรื่อง sex และอารมณ์รัก และเชื่อกันว่ามีจุดเริ่มต้นในช่วงประมาณปี 1900 ต้นๆ และด้วยความที่ Jazz มันเกิดหลังดนตรี classic ตั้งนาน ก็เป็นธรรมดาที่เพลงแจ๊สจะใช้กีตาร์ กีตาร์ไฟฟ้า และดับเบิ้ลเบสเพิ่มขึ้นมาจากเครื่องสายเครื่องเป่าเดิม ๆ ซึ่งดนตรีคลาสสิกจะไม่ค่อยใช้กีตาร์ เท่าที่เห็นจะใช้แค่ Lute (ซึ่งคล้าย ๆ กีตาร์คลาสสิกที่มีสายโต ๆ ) และหลัก ๆ ก็คือเครื่องดนตรีทั้งหลายในวง Orchestra เพลงแจ๊สในระยะหลัง ๆ มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ากันไม่จบในสิบหน้ากระดาษแน่นอน ไม่เหมือนเพลงคลาสสิกที่ถึงจะมีคนคิดค้น contempolary classical ขึ้นมา ก็ไม่ได้มีความหลากหลายแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
เพลงแจ๊สต่อมาคนอเมริกันผิวขาวเอามาเล่นและทำเป็นแต่งสูทหรู ๆ ทำให้คนมองว่าเพลงแจ๊สเป็นเพลงสำหรับคนหรูหราไฮโซ ซึ่งจริง ๆ แล้วจุดกำเนิดมันไม่ใช่เลย จะเห็นได้ว่าร้านขายเพลงเอาเพลงแจ๊สกับเพลงคลาสสิคไปอยู่ในห้องเล็ก ๆ รวมกัน ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันของเพลงทั้งสองแนวมีอยู่อย่างเดียวคือคนไม่ค่อยสนใจในวงกว้างในประเทศไทยเท่านั้นเอง
อินเตอร์เน็ต @ 27 April 2015, Comments Off
ดนตรีแจ๊สมีจุดกำเนิดมาจากเพลงพื้นบ้านหรือเพลงโฟล์ค ที่ขับขานออกมาด้วยความท้อรันทดของทาสชาวอาฟริกันที่ถูกใช้แรงงานเยี่ยงสัตว์ในอเมริกา ดินแดนใหม่หรือทวีปใหม่ที่เรียกกันว่า เดอะ นิวเวิลด์ ซึ่งได้มีการหลั่งไหลของอารยะธรรมจากตะวันตกเข้าไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะดนตรีจากราชสำนักและดนตรีคลาสสิคของคนขาว ชาวยุโรป ซึ่งเชื่อกันว่าในเวลาต่อมา ดนตรีทั้งสองถูกนำมาผสมรวมกันและเกิดเป็นแจ๊สในที่สุด และแน่นอนว่ากว่าจะรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นดนตรีในแขนงนี้ขึ้นมาได้นั้น ก็ต้องใช้เวลานาน ในการพัฒนาการเป็นเวลาหลายสิบปี และในที่สุด ดนตรีที่ผสมผสานกันระหว่างดนตรีของคนผิวดำกับคนขาวก็ถูกเรียกว่า แจ๊ส ในช่วงต้นปี 1917
ชาวแอฟริกันตะวันตกที่อาศัยอยู่จำนวนมากทางตอนใต้ แถบนิวออร์ลีนส์ เป็นกลุ่มทาสที่เป็นแรงงานด้านเกษตรกร ซึ่งมีวัฒนธรรมทางดนตรีที่เข้มแข็ง มีการใช้ดนตรีประกอบการทำงาน พิธีทางศาสนา และงานเทศกาลรื่นเริงต่างๆ หรือหากว่างจากงานก็จะมารวมกลุ่มร้องรำทำเพลงกัน โดยใช้เครื่องดนตรีที่ทำเป็นกลองตี ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดดนตรีแจ๊ส โดยได้รากฐานจากเพลงสวดของพวก นิโกร ซึ่งแต่งขึ้นก่อนพวกทาสได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ โดยเพลงพื้นเมืองของคนผิวดำเป็นเพลงที่แสดงอารมณ์ลึกซึ้งได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ลักษณะดนตรีแอฟริกาแถบตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิดของดนตรีแจ๊สยังมีลักษณะการสร้างสรรค์ แบบการอิมโพรไวเซชั่น (Improvisation) เน้นที่จังหวะกลองและจังหวะที่ซับซ้อน เป็นลักษณะที่เรียกว่า การโต้ตอบ ซึ่งพบได้ในเพลงแจ๊ส โดยเฉพาะการร้องโต้ตอบของนักร้องเดี่ยวกับกลุ่มนักร้อง ประสานเสียง มีการใช้จังหวะขัด จังหวะตบที่สม่ำเสมอและสีสันที่โดดเด่นรวมทั้งลักษณะเฉพาะของการบรรเลงดนตรี สำหรับที่มาของการเรียกว่า ดนตรีแจ๊ส นั้นคือการเรียกตามวงดนดรีวงแรกที่นำแนวเพลงแจ๊สมาสู่คนฟังที่มีการบันทึกเสียงออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ คือ วง ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ารูปแบบแจ๊สใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น ดนตรีแจ๊สในรูปแบบดั่งเดิม แจ๊ส จึงเป็นดนตรีที่ผู้ฟังควรศึกษา ฝึกหัดฟัง ทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ เพื่อพัฒนาความซาบซึ้งของตนเองให้ถึงระดับเดียวกับการนำเสนอของผู้สร้างรรค์ ผู้ฟังย่อมได้รับอรรถรสของแจ๊สอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงผู้ฟังผู้นั้นได้รับรู้สุนทรีย์ทางแจ๊สนั่นเอง
อินเตอร์เน็ต @ 13 February 2015, Comments Off
คงเป็นเพราะความนิยมของบทเพลงในละครเพลงในอดีตเช่น Wizard of Oz,Gone with The Wind, My Fair Lady, Breakfast at the Tiffani, The Sound of Music,Casablanca, West Side Story ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในอดีตจวบจนปัจจุบัน ยิ่งเมื่อถูกนำมา Cover โดยศิลปินแจ๊สในสมัยนั้นทำให้มันถูกตอกย้ำภาพลักษณ์ความสำเร็จอย่างช่วยไม่ได้ ในลักษณะที่โดดเด่นและครองใจคนทั่วโลกเหนือดนตรีแนวอื่นในช่วงสมัยนั้น ประกอบกับภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดมักจะนำเพลงแจ๊สมาเป็นThemeหนังเลยยิ่งทำให้การสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ออกไปทางหรูหรา ต้องมีระดับ ทั้งที่ผู้ผลิตหาได้คิดอย่างนั้นไม่
เมื่อภาพลักษณ์แจ๊สถูกสื่อสารทางภาพยนตร์ส่วนใหญ่อย่างไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตลอดจนการจัดแสดงคอนเสิรต์แจ๊สตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก(แม้จะน้อยกว่าดนตรีแนวอื่น) เพื่อที่จะอยู่ได้จำเป็นต้องคิดค่าบัตรค่อนข้างแพงเพราะต้องนำเข้าศิลปินจากตปทสถานที่จัดก็ต้องรองรับผู้ที่ค่อนข้างมีอันจะกินเพราะหากไปจัดImpactก็เกินไป จัดที่คับแคบก็เหมือนดูถูกคนฟัง ประกอบกับ Resources ต่างๆเช่นซีดี มักมีราคาแพงเพราะผลิตและจำหน่ายน้อยกว่าแนวดนตรีประเภทอื่น ภาษีก็แพงเพราะเรายังต้องนำเข้าอยู่อีก99.99% ทำให้ผู้ที่เริ่มจะเข้ามาใหม่หรือผู้อยู่รอบนอกกลัวที่จะเข้ามา จึงกลายเป็นถูกกีดกันไปโดยปริยาย ผลคือกลายเป็นของสูงไป
ทางแก้ไขคือ
1.เราต้องแก้ที่ตัวเราเองก่อน ทุกวันนี้เราฟังเพลงแจ๊สเพื่ออะไรต้องตอบตัวเองให้ได้ การฟังแจ๊สเป็นเหมือนศิลปะอย่างหนึ่งจำเป็นต้องศึกษา แยกแยะให้เกิดความเข้าใจ เพื่อว่าเมื่อคนถามเราจะตอบได้ว่าแต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร ถ้าตอบไม่ได้มันจะเกิดความสงสัยกับผู้อื่นตลอดไป พยายามฟังหลายๆแนวเพราะบางครั้งการที่เราเลือกฟังเฉพาะแนว จะทำให้เราติดยึดจนเกินไป ผลคือศิลปินใหม่ๆที่เขามีความตั้งใจจะนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย ที่ร้ายกว่านั้นคือมันจะขาดพัฒนาการส่งผลให้มันไม่อาจขยายกลุ่มคนฟังใหม่ได้ จึงมีอยู่บางช่วงที่ดูเหมือนมันเกือบหมดลมหายใจทีเดียว เมื่อสมัยที่เพลงร็อคเฟื่องฟูแจ๊สเกือบตาย ดีที่ศิลปินในอดีตปรับตัวได้มีการผสมกันหลาย Genres ทำให้มันยังเดินต่อได้แต่ระยะนี้ยังไม่น่าไว้ใจนักเพราะเท่าที่ติดตามค่าย Major Labels มักจะไม่กล้าเสื่ยงที่จะออกผลงานใหม่ๆ จะเล่นของตายอย่างเดียว เลยจะเห็นงานReissues ออกมาเกลื่อนช่วงนี้ ถามว่าแล้วมันเกี่ยวกับเรายังไงก็เราชอบงานเก่าๆ ฟังแล้วเพราะดี ต้นตำรับดี ก็อยากจะบอกว่าจะทำให้ศิลปินใหม่ไม่อาจเบียดแทรกตลาดได้ โดยเฉพาะพวกงานจากIndependent Labelsที่มีนับพันนับหมื่นต้องล้มตายไป เพราะไม่มีกำลังที่จะไปต่อกรกับMajor Labelsได้ นอกจากนี้พวกค่ายใหญ่เดี๋ยวนี้ฉลาดเข้าTake Overค่ายเล็กที่ประสบความสำเร็จเช่น ECM, DIW เป็นต้นงานในช่วงหลังของค่ายพวกนี้ขาดพลังไปเยอะเมื่อเทียบกับตอนต้นๆที่ก่อตั้ง
2.ควรจะเลิกความคิดที่จะแบ่งแยกความคิดทำนองที่ว่าคนฟังแจ๊สบางคนไม่รู้เรื่อง ฟังเพื่อยกฐานะ หรืออะไรทำนองนี้ เพราะความคิดเหล่านี้มันจะกัดกร่อนการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของวงการแจ๊สในบ้านเรา เพราะอย่างน้อยคนเหล่านั้นวันหนึ่งเขาอาจเข้าใจและหันมาสนับสนุนแจ๊สที่เรารักอย่างจริงจังได้ เรายังต้องการฐานคนฟังอีกเยอะ ไม่ว่าเขาจะมีเทือกเขาเหล่ากอจากไหน ก็มีสิทธิจะฟัง ลองดูที่ตัวเราสิ จากฟังไม่รู้เรื่องเลยมาจนบ้าขนาดนี้ นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าศิลปินแจ๊สมีรายได้จากคนกลุ่มที่ค่อนข้างมีฐานะเพื่อจุนเจือครอบครัวเช่นรายได้ค่าบัตร ซีดี ของชำร่วย ลำพังคนชั้นกลางอย่างเราๆอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะสนับสนุนเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง ลองดูซิว่าที่บ้านเรามีเทปผีซีดีเถื่อนอยู่กี่มากน้อย
3.เลิกเสียทีกับEgo ที่ว่าชั้นมันเล่นขนาดนั้นขนาดนี้ ชั้นฟังขนาดนั้นขนาดนี้ ชั้นเรียนที่นั่นที่นี่ เพราะไม่ว่าเราจะเริ่มฟังชั้นไหน เรียนที่ไหน มันล้วนแต่เปลือกนอก หาได้เป็นผลิตผลตามความตั้งใจของแจ๊สไม่ เพราะความตั้งใจแต่เดิมมันเป็นดนตรีที่คอยปลอบประโลมคนชั้นล่างด้วยกันหลังจากผ่านความกดดันกับหน้าที่การงานที่ถูกกดขี่ข่มเหง มันเกิดมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ รักษาวัตนธรรมของบรรพบุรุษ แต่พอกาลเวลาผ่านไปคนเรากับดั๊นทำให้มันเป็นเครื่องแบ่งแยกทางสังคมไปได้
1.เราต้องแก้ที่ตัวเราเองก่อน ทุกวันนี้เราฟังเพลงแจ๊สเพื่ออะไรต้องตอบตัวเองให้ได้ การฟังแจ๊สเป็นเหมือนศิลปะอย่างหนึ่งจำเป็นต้องศึกษา แยกแยะให้เกิดความเข้าใจ เพื่อว่าเมื่อคนถามเราจะตอบได้ว่าแต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร ถ้าตอบไม่ได้มันจะเกิดความสงสัยกับผู้อื่นตลอดไป พยายามฟังหลายๆแนวเพราะบางครั้งการที่เราเลือกฟังเฉพาะแนว จะทำให้เราติดยึดจนเกินไป ผลคือศิลปินใหม่ๆที่เขามีความตั้งใจจะนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย ที่ร้ายกว่านั้นคือมันจะขาดพัฒนาการส่งผลให้มันไม่อาจขยายกลุ่มคนฟังใหม่ได้ จึงมีอยู่บางช่วงที่ดูเหมือนมันเกือบหมดลมหายใจทีเดียว เมื่อสมัยที่เพลงร็อคเฟื่องฟูแจ๊สเกือบตาย ดีที่ศิลปินในอดีตปรับตัวได้มีการผสมกันหลาย Genres ทำให้มันยังเดินต่อได้แต่ระยะนี้ยังไม่น่าไว้ใจนักเพราะเท่าที่ติดตามค่าย Major Labels มักจะไม่กล้าเสื่ยงที่จะออกผลงานใหม่ๆ จะเล่นของตายอย่างเดียว เลยจะเห็นงานReissues ออกมาเกลื่อนช่วงนี้ ถามว่าแล้วมันเกี่ยวกับเรายังไงก็เราชอบงานเก่าๆ ฟังแล้วเพราะดี ต้นตำรับดี ก็อยากจะบอกว่าจะทำให้ศิลปินใหม่ไม่อาจเบียดแทรกตลาดได้ โดยเฉพาะพวกงานจากIndependent Labelsที่มีนับพันนับหมื่นต้องล้มตายไป เพราะไม่มีกำลังที่จะไปต่อกรกับMajor Labelsได้ นอกจากนี้พวกค่ายใหญ่เดี๋ยวนี้ฉลาดเข้าTake Overค่ายเล็กที่ประสบความสำเร็จเช่น ECM, DIW เป็นต้นงานในช่วงหลังของค่ายพวกนี้ขาดพลังไปเยอะเมื่อเทียบกับตอนต้นๆที่ก่อตั้ง
2.ควรจะเลิกความคิดที่จะแบ่งแยกความคิดทำนองที่ว่าคนฟังแจ๊สบางคนไม่รู้เรื่อง ฟังเพื่อยกฐานะ หรืออะไรทำนองนี้ เพราะความคิดเหล่านี้มันจะกัดกร่อนการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของวงการแจ๊สในบ้านเรา เพราะอย่างน้อยคนเหล่านั้นวันหนึ่งเขาอาจเข้าใจและหันมาสนับสนุนแจ๊สที่เรารักอย่างจริงจังได้ เรายังต้องการฐานคนฟังอีกเยอะ ไม่ว่าเขาจะมีเทือกเขาเหล่ากอจากไหน ก็มีสิทธิจะฟัง ลองดูที่ตัวเราสิ จากฟังไม่รู้เรื่องเลยมาจนบ้าขนาดนี้ นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าศิลปินแจ๊สมีรายได้จากคนกลุ่มที่ค่อนข้างมีฐานะเพื่อจุนเจือครอบครัวเช่นรายได้ค่าบัตร ซีดี ของชำร่วย ลำพังคนชั้นกลางอย่างเราๆอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะสนับสนุนเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง ลองดูซิว่าที่บ้านเรามีเทปผีซีดีเถื่อนอยู่กี่มากน้อย
3.เลิกเสียทีกับEgo ที่ว่าชั้นมันเล่นขนาดนั้นขนาดนี้ ชั้นฟังขนาดนั้นขนาดนี้ ชั้นเรียนที่นั่นที่นี่ เพราะไม่ว่าเราจะเริ่มฟังชั้นไหน เรียนที่ไหน มันล้วนแต่เปลือกนอก หาได้เป็นผลิตผลตามความตั้งใจของแจ๊สไม่ เพราะความตั้งใจแต่เดิมมันเป็นดนตรีที่คอยปลอบประโลมคนชั้นล่างด้วยกันหลังจากผ่านความกดดันกับหน้าที่การงานที่ถูกกดขี่ข่มเหง มันเกิดมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ รักษาวัตนธรรมของบรรพบุรุษ แต่พอกาลเวลาผ่านไปคนเรากับดั๊นทำให้มันเป็นเครื่องแบ่งแยกทางสังคมไปได้
อินเตอร์เน็ต @ 24 January 2015, Comments Off
ความเป็นแจ๊ส คือ ความแปลกใหม่จากการสร้างสรรค์ของผู้บรรเลง หรือขับร้องที่ใช้ปฏิภาณความสามารถของตนเองในการแสดงออก ทำให้ผู้ฟังได้รับสิ่งที่สด ใหม่ ทุกครั้งในการแสดงเป็นลักษณะดั้งเดิมประการสำคัญของแจ๊ส สิ่งนี้คงเป็นสุนทรีย์ของแจ๊สด้วยประการหนึ่ง นอกจากนี้การแสดงออกที่อิสระ แต่อยู่ในกรอบของโครงสร้าง ทำให้เห็นความงดงามในความเฉพาะของเครื่องดนตรีแต่ละเครื่อง นับเป็นเสน่ห์ประการสำคัญของแจ๊ส ที่ทำให้ผู้ชมชื่นชอบในดนตรีประเภทนี้
แต่เดิมมา แจ๊สถือกำเนิดมาจากดนตรีอัฟริกันที่มีลักษณะจังหวะที่ซับซ้อน และความโหยหวล ล้ำลึก ของความรู้สึกที่โหยหาอิสรภาพของชาวสีผิวอเมริกัน ทำให้แจ๊สเป็นดนตรีทีสื่อความรู้สึกลึก ๆ เศร้า ๆ ได้อย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชมซาบซึ้งในความรู้สึกที่ตนได้สัมผัส จากการถ่ายทอดผ่านโสตศิลป์ของศิลปินแจ๊ส
นอกจากนี้ องค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่การจัดวงดนตรีที่มีหลายลักษณะ การพัฒนารูปแบบจนมีแจ๊สหลายประเภท และการนำแจ๊สมาผสมผสานกับดนตรีของแต่ละชาติ แต่ละท้องถิ่นทำให้เกิดความหลากหลาย และหมาะสมกับผู้ฟังในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ แจ๊สจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังมากขึ้น
สุนทรีย์ของแจ๊สจึงอยู่ที่ความหลากหลายของโสตศิลป์ ที่ผู้สร้างสรรค์สามารถคิดค้นเพื่อนำเสนอกับผู้ฟัง ความง่ายของการสร้างสรรค์เนื่องจากแนวทำนอง จังหวะที่เร้าใจ สีสันและเทคนิคของการขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีทำให้แจ๊สเป็นดนตรีที่น่าฟัง อย่างไรก็ตามแจ๊สบางประเภท บางลักษณะผู้สร้างสรรค์ใช้จินตนาการกว้างไกล ไม่คำนึงถึงความง่ายในการฟังคำนึงถึงตนเองเป็นหลัก แจ๊สประเภทนี้เป็นดนตรีที่ฟังยากขึ้น ผู้ฟังต้องศึกษาถึงความหมายของการสร้างสรรค์ ต้องมีความเข้าใจเบื้องต้น จึงสามารถฟังเพลงเหล่านี้แล้วรู้สึกไพเราะ เห็นคุณค่าและเกิดความซาบซึ้งได้
แจ๊ส จึงเป็นดนตรีที่ผู้ฟังควรศึกษา ฝึกหัดฟัง ทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ เพื่อพัฒนาความซาบซึ้งของตนเองให้ถึงระดับเดียวกับการนำเสนอของผู้สร้างรรค์ ผู้ฟังย่อมได้รับอรรถรสของแจ๊สอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงผู้ฟังผู้นั้นได้รับรู้สุนทรีย์ทางแจ๊สแล้วนั่นเอง
แต่เดิมมา แจ๊สถือกำเนิดมาจากดนตรีอัฟริกันที่มีลักษณะจังหวะที่ซับซ้อน และความโหยหวล ล้ำลึก ของความรู้สึกที่โหยหาอิสรภาพของชาวสีผิวอเมริกัน ทำให้แจ๊สเป็นดนตรีทีสื่อความรู้สึกลึก ๆ เศร้า ๆ ได้อย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชมซาบซึ้งในความรู้สึกที่ตนได้สัมผัส จากการถ่ายทอดผ่านโสตศิลป์ของศิลปินแจ๊ส
นอกจากนี้ องค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่การจัดวงดนตรีที่มีหลายลักษณะ การพัฒนารูปแบบจนมีแจ๊สหลายประเภท และการนำแจ๊สมาผสมผสานกับดนตรีของแต่ละชาติ แต่ละท้องถิ่นทำให้เกิดความหลากหลาย และหมาะสมกับผู้ฟังในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ แจ๊สจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังมากขึ้น
สุนทรีย์ของแจ๊สจึงอยู่ที่ความหลากหลายของโสตศิลป์ ที่ผู้สร้างสรรค์สามารถคิดค้นเพื่อนำเสนอกับผู้ฟัง ความง่ายของการสร้างสรรค์เนื่องจากแนวทำนอง จังหวะที่เร้าใจ สีสันและเทคนิคของการขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีทำให้แจ๊สเป็นดนตรีที่น่าฟัง อย่างไรก็ตามแจ๊สบางประเภท บางลักษณะผู้สร้างสรรค์ใช้จินตนาการกว้างไกล ไม่คำนึงถึงความง่ายในการฟังคำนึงถึงตนเองเป็นหลัก แจ๊สประเภทนี้เป็นดนตรีที่ฟังยากขึ้น ผู้ฟังต้องศึกษาถึงความหมายของการสร้างสรรค์ ต้องมีความเข้าใจเบื้องต้น จึงสามารถฟังเพลงเหล่านี้แล้วรู้สึกไพเราะ เห็นคุณค่าและเกิดความซาบซึ้งได้
แจ๊ส จึงเป็นดนตรีที่ผู้ฟังควรศึกษา ฝึกหัดฟัง ทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ เพื่อพัฒนาความซาบซึ้งของตนเองให้ถึงระดับเดียวกับการนำเสนอของผู้สร้างรรค์ ผู้ฟังย่อมได้รับอรรถรสของแจ๊สอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงผู้ฟังผู้นั้นได้รับรู้สุนทรีย์ทางแจ๊สแล้วนั่นเอง
Impressive! Thanks for the post.Synogut Reviews
ตอบลบVery nice… I really like your blog…BioFit Reviews